- read

แชร์ประสบการณ์ Project Manager ด้าน Tech Software ที่ The Existing Company แบบ Exclusive

Jajdham Wirulhadej 38

หลายๆคนเคยได้ยินตำแหน่ง Project Manager กันมาบ้างแล้ว อาจจะไม่ได้รู้ถึงเบื้องลึกว่า ตำแหน่ง Project Manager โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวกับ Tech Software เนี่ยมันเป็นยังไง

เราเลยเตรียมคำถามเด็ดๆ ที่ทุกคนอยากจะรู้แน่นอน เช่น

  • ต้องมีทักษะอะไรบ้างถึงเป็น Project Manager ได้
  • เป็น Project Manager เหนื่อยไหม
  • จากการร่วมงานหลายๆโปรเจกต์ อะไรเป็นจุดแข็งของ EXISTING

วันนี้พวกเรา 3 คน ปิงปอง Business Operation แจน Intern Digital Marketing และ ปีเตอร์ Product Owner เลยจะมาชวน บี Project Manager ที่ The Existing Company มาพูดคุยแบ่งปันประสบกาณ์ การเป็น Project Manager ล้วงลึกถึงเบื้องหลังว่าเป็นยังไงบ้าง เชิญบีแนะนำตัวเลยครับผม

บี: สวัสดีค่ะ ชื่อ บี เป็น Project Manager ที่ The Existing Company ค่ะ

ผู้ร่วมสนทนากับเราวันนี้

ผู้เขียน: แล้วจุดเริ่มต้นของการมาทำงานที่ The Existing Company คืออะไรครับ

บี: รู้จักผ่าน Blogs ค่ะ มีประกาศฝึกงาน เลยเริ่มต้นจากฝึกงานที่นี่ค่ะ

ผู้เขียน: แล้วบีเริ่มทำจากตำแหน่ง Project Manager เลยไหมครับ

บี: เริ่มจากการเป็น System Analysis มาก่อนค่ะ ผ่านไป 1 ปี เลยขยับมาเป็น Project Manager ค่ะ

ผู้เขียน: แล้วบีทำงานที่ The Existing Company มานานขนาดไหนแล้วครับ

บี: ประมาณปีกว่าแล้วค่ะ

ผู้เขียน: การได้เป็น Project Manager มีหน้าที่หลักๆต้องทำอะไรบ้างครับ

บี: เป็น Project Manager ของที่นี่ต้อง จัดการ ควบคุม ขอบเขตการทำงาน และ ขั้นตอนการดำเนินการของงานที่ได้มาจากลูกค้า และ ส่งงานกลับไปให้ลูกค้าเพื่อตรวจสอบ และค่อยวางหน้าที่และ sprint ให้กับทีมค่ะ

ผู้เขียน: ตอนนี้บีเป็น Project Manager ให้กับโปรเจกต์ไหนบ้างครับ

บี: มีโปรเจกต์ e-commerce ของลูกค้า แคมเปญต่างๆเกี่ยวกับโทรคมนาคม และโปรเจกต์ Startup ของบริษัทเอง ประมาณ 4–5 โปรเจกต์ค่ะ

ผู้เขียน: โห ดูแลโปรเจกต์เยอะขนาดนี้ไม่เหนื่อยแย่เหรอครับ

บี: เหนื่อยอยู่ค่ะ ฮ่า ฮ่า แต่ถ้าเราสามารถ manage slot งานดีๆ วันๆหนึ่งสามารถทำได้หลายโปรเจกต์ค่ะ แต่ต้องแบ่งเวลากับแต่ละโปรเจกต์ บีมักจะใช้เวลาประมาณ 2–3 ชั่วโมงต่อแต่ละโปรเจกต์ค่ะแล้ว ค่อยๆเคลียร์ไปงานไปค่ะ

ผู้เขียน: บีช่วยแชร์เคล็ดลับการบริหารโปรเจคให้เก่งแบบบีหน่อยครับ

บี: เคล็ดลับของบีในแต่ละวันคือนั่งเขียนแต่ละงานเลยค่ะ ว่างานไหนเร่งที่สุด แล้ว แล้วจะเข้าไปทำในงานที่เร่งที่สุดแล้วไล่ไปเรื่อยๆ เช่น งานที่มีคนรอทำต่อจากเรา อันนี้เราจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่งานไหนเรารับผิดชอบคนเดียวก็จะเอาไปท้ายๆค่ะ

ผู้เขียน: ทักษะอะไรที่บีคิดว่า Project Manager ควรมีครับ

บี: พวกทักษะการจัดการค่ะ ซึ่งจะต้องจัดการทั้งรายละเอียดของงานและคนค่ะ ส่วนเรื่องพวกทักษะเทคนิคจะเป็นเรื่องที่รองลงมาค่ะ

ผู้เขียน: แล้วถ้ามีคนสนใจอยากเป็น Project Manager เกี่ยวกับ Tech Software เนี่ย แต่ไม่เก่ง Code ไม่ได้จบโดยตรง บีคิดว่าสามารถเป็น Project Manager ที่นี้ได้ไหมครับ

บี: เป็นได้ค่ะ เพราะ Project Manager ไม่ได้ลงลึกเข้าไปใน Tech ขนาดนั้น เน้นดูภาพรวมและความเข้าใจมากกว่า ไม่จำเป็นต้องรู้ถึง 100% ประมาณ 40%-50% แล้วแต่เนื้องานว่าต้องลึกไปขนาดไหนค่ะ

ผู้เขียน: ตอนนี้บีชอบตำแหน่ง Project Manager ไหมครับ

บี: รู้สึกโอเคกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ เป็น System Analysis เราไม่ได้ต้องการลงลึก tech ขนาดนั้น เลยคิดว่าตำแหน่ง Project Manager ตอบโจทย์ตอนนี้มากที่สุดค่ะ

ผู้เขียน: บีมีโปรแกรมที่อยากแนะนำให้ทุกคนใช้ไหม สำหรับคนที่กำลัง Work From Home อยู่

บี: Slack ค่ะ เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารที่ดีมาก อยากให้ทุกคนลองใช้ บีแนะนำว่าอย่าใช้ไลน์ทำงานกันเลยนะคะ ฮ่า ฮ่า เพราะ Slack สามารถแยกการทำงานออกจากชีวิตประจำวันได้

ผู้เขียน: การเป็น Project Manager ที่นี่ หรือ เกี่ยวกับ tech ต้องใช้โปรแกรมอะไรในการทำงานบ้างครับ

บี: ส่วนใหญ่ จะเป็นพวก Google Sheet, Google Doc และ Jira พวก Task Management

ผู้เขียน: ทำไมที่นี่ใช้ Jira สำหรับ Task Management ทำไมไม่เลือกใช้พวก Trello หรือ Asana หรือโปรแกรมอื่นๆครับ

บี: ในตลาดมีตัวเลือกมากมายก็จริง แต่ที่เลือก Jira เพราะมันสามารถ plug-in หรือ Import Template เข้ามาใน Jira ได้ แล้วเขียน Requirement ใน Confluence page ซึ่งสามารถ รวมทุกอย่างไว้ใน Jira แต่สำหรับโปรแกรมอื่นจะเป็นแค่การ์ดงาน ซึ่งไม่สามารถแยกเป็น Epic หรือ User Story ได้ 100% เลยมองว่า Jira เหมาะที่สุดค่ะ

ผู้เขียน: พอใช้ Jira ที่สามารถ ทำให้ทีมเห็นภาพรวมด้วยกันได้ มันช่วยให้ทีมสื่อสารกันได้ดีขึ้นไหมครับ

บี:ใช่ค่ะ เพราะเวลามี Daily meeting Jira จะเป็นตัวกลางและเห็นหน้าที่ของทุกคนอยู่ในสถานะไหนแล้ว ทำกันเสร็จรึยัง ก่อนหน้านี้ทำอะไรกันบ้าง แล้วหลังจากนี้จะทำอะไรกันบ้าง

ผู้เขียน: เราใช้ Jira ในการติดตามหน้าที่ของแต่ละคน แล้วมันช่วยให้เรา ค้นหาต้นตอเวลาเกิดปัญหาได้ดีขึ้นไหมครับ

บี: ดีขึ้นค่ะ มันสามารถเปิด Issue แล้วลิ้งก์ไป Task หลักว่าเกิดปัญหานี้นะ และยังสามารถผูกกับ GitHub ได้ด้วยว่า Task นี้ไปผูกกับ push code ของนักพัฒนาตรงไหน Task ไหน สามารถตรวจสอบได้ค่ะ

ผู้เขียน: บีเป็น Project Manager แล้วก่อนหน้านี้มีเคยมีการใช้โปรแกรมอื่นนอกจาก Jira บ้างไหม

บี: เวลาทำโปรเจกต์กับที่อื่น เคยใช้ Trello Clickup และ Asana ค่ะ เราลองใช้หมดแล้ว แต่ยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโปรเจกต์ค่ะ แต่ยังไงก็รู้สึกว่า Jira เหมาะกับเราที่สุด สามารถทำได้เยอะที่สุดสำหรับ Task Management ค่ะ

ผู้เขียน: พอมามอง Jira ถูกออกแบบให้เหมาะกับการทำงานแบบ Agile บีน่าจะเป็นคนเข้าใจได้ดีที่สุดว่าการทำงานแบบ Agile เป็นยังไง สำหรับบี การทำงานแบบ Agile มันดีไหมครับ

บี: ดีค่ะ ตอบโจทย์กับโปรเจกต์ที่จะปรับ Requirement กลางคัน เพราะเราแบ่งการทำงานเป็น Module แต่ละ Module ก็แยกไปทำในแต่ละ Sprint อาจจะตก Sprint ละ 1–2 อาทิตย์ แล้วก็จะมี Sprint planning หลังจากนั้นก็เป็น Sprint Review ต่อด้วย Sprint retrospective ให้ Feedback ภายในสัปดาห์นั้นว่า เราชอบอะไรไม่ชอบอะไรที่เราสามารถปรับปรุงได้ตลอดระยะการทำงาน แต่บางโปรเจกต์อาจจะไม่ Agile 100% เพราะการทำงานร่วมกับบริษัทอื่นอาจจะมี Requirement ที่ให้มาอยู่แล้ว อาจจะมี mini waterfall ขึ้นอยู่กับแต่ละโปรเจกต์เลยค่ะ

ผู้เขียน: การทำงานแบบ Agile รู้สึกว่าเราได้ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเพิ่มมากขึ้นไหมครับ

บี: ใช่ค่ะ แต่ Agile อาจจะเหนื่อยขึ้นมาหน่อยเพราะต้องมีการตัวในทุก Sprint ทำ Story point แล้ว Task จะเยอะหน่อยค่ะ แต่มันสามรถควบคุมคุณภาพของงานได้ดีและตอบโจทย์ในทั้ง นักพัฒนาและลูกค้าด้วยค่ะ เพราะลูกค้าไม่อยากจะรอให้มันเสร็จละค่อยปรับแต่สามารถโยกย้ายไป Sprint อื่นได้เลยค่ะ

ผู้เขียน: เมื่อกี้ที่บอกว่าทำงานแบบ Agile ทำให้มีหน้าที่เพิ่มขึ้นมา แล้วคิดว่าการทำงานแบบ Agile มันได้ช่วยให้เราทำงานเร็วขึ้นบ้างไหมครับ

บี: สำหรับเรางานมันเยอะขึ้นก็จริง แต่สำหรับคนในทีมเองรู้สึกว่าน้อยลงเพราะ scope งานมันชัดเจนค่ะ หน้าที่ของทุกคนถูกตั้งไว้เรียบร้อยแล้วว่าต้องทำงานไหนเวลาไหน ภายในอาทิตย์ไหนค่ะ

ผู้เขียน: การทำงานแบบ Agile จะไม่ค่อยเน้นเอกสาร แล้วส่วนตัวบีมีได้จับพวกเอกสารบ้างไหม

บี: ก็มีทำบ้างค่ะ แต่ไม่เท่า Waterfall เพราะเวลาทำเสร็จต้องทำเอกสารให้ครบทุกอย่างก่อนนักพัฒนาจะเริ่มงาน แต่ Agile เราจะค่อยๆแบ่งเป็นส่วนๆให้นักพัฒนาทำ มันก็ดีสำหรับการปรับเปลี่ยน สามารถเพิ่มใน Sprint ถัดไปได้

ผู้เขียน: พอเป็น Agile มีการใกล้ชิดกับลูกค้าเพิ่มขึ้นไหมครับ

บี: ใช่คะ ใกล้ชิดกับลูกค้าบ่อยหน่อย เช่น เวลาทำเอกสารในต้น Sprint เราก็จะมีคำถามเพิ่มเติม เราก็ต้องคุยกันว่า Sprint นี้เราจะทำประมาณนี้ ติดปัญหาตรงนี้ แล้วมีคำถามว่าลูกค้าอยากปรับตรงไหนเพิ่มไหม แล้วลูกค้าสามารถเห็นงานในทุกๆเดือน ทุกๆอาทิตย์ สามารถปรับงานได้ เลยทำให้คุยกันบ่อยขึ้นค่ะ

บีกำลังประชุม!!

ผู้เขียน: เวลาทำโปรเจกต์ไปสักพัก ต้องปรับเปลี่ยนกลางคันบ่อยไหมครับ

บี: บ่อยค่ะ การทำงานแบบ Agile ยังไงก็ต้องเจอการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาอยู่แล้วค่ะ ถ้า Sprint Retrospective รู้สึกยังต้องปรับเปลี่ยน ก็ต้องปรับใน Sprint ต่อไป ยังไงลูกค้าก็จะรู้สึกอยากเพิ่มนู่น เพิ่มนี่ตลอดอยู่แล้วค่ะ ถ้ามีการปรับเปลี่ยนเยอะก็ต้องมาคุยกันแล้วว่าตรงไหนทำได้ก่อน ทำได้หลัง ตรงไหนทำได้ ทำไม่ได้ค่ะ

ผู้เขียน: พอทำงานแบบ Agile ต้องใช้วิธีการทำงานแบบ Scrum บีคิดว่ามันดีไหมครับ

บี: โอเคค่ะ เพราะได้อัพเดตปัญหาในทุกๆวัน ว่า นักพัฒนาเจออะไร Tester เจออะไร ทุกคนได้รู้ในเวลาเดียวกัน ถ้ารอจนจบโปรเจค ปัญหานั้นอาจจะสะสมแล้วมาแก้ทีเดียวอาจจะจัดการยากค่ะ

ผู้เขียน: อะไรคือความท้ายของตำแหน่ง Project Manager ครับ

บี: ความท้าทายของตำแหน่ง PM คือ การจัดการ ทุกอย่างให้อยู่ในการควบคุมของเราค่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่ ถ้าไม่สามารถบริหารจัดการได้ งานก็จะเริ่มไปกระทบส่วนอื่นแหละ ฉะนั้น เราต้องให้ลูกค้าอยู่ใน Control ของเรา Task งานอยู่ใน Control ของเราจะต้องควบคุมระยะเวลาให้ดี และ จัดการ งานให้ดีว่ามันสามารถเสร็จตามกำหนดได้จริงไหม ถ้าเกิดต้องส่งงานให้ลูกค้า งานจะเสร็จทันรึเปล่า นี่ก็จะเป็นความท้าทายของตำแหน่งนี้ค่ะ

พูดถึง The Existing Company

ผู้เขียน: ณ ตอนนี้เรามองว่า Career path ในอนาคตไว้ยังไงบ้างครับ

บี: จากตอนนี้ก็คือสุดแค่ตรงนี้ค่ะ แต่ถ้าในอนาคตจริงๆ อาจจะเป็น PO แต่ยังไงก็ยังไม่อยากเป็น PO เพราะว่าเหนื่อย ฮ่า ฮ่า

ผู้เขียน: จากการทำโปรเจกต์ทั้ง In house และ Startup เนี่ย เราเรียนรู้อะไรจากตรงนี้บ้างครับ

บี: การที่เราทำ 2 โปรเจคที่ไม่เหมือนกันในเวลาเดียวกันเนี่ย ทำให้เรารู้ถึงความแตกต่างในแง่ของ Corporate และ Startup ที่ไม่เหมือนกัน การทำ Startup มันสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอด พอเป็น Corporate ที่ Marketing และ Business เขา กำหนดไว้ตรงตัวอยู่แล้วถึงค่อยมาทำ ทำให้เกิดการเขียน Requirement และ flow งานที่แตกต่างกันค่ะ

ผู้เขียน: แล้วบีชอบระหว่างอะไรมากกว่ากันครับ

บี: รู้สึกว่าชอบทั้งอย่างเลย ฮ่า ฮ่า แบบทำไปเรื่อยๆ และก็มั่วๆไปในเวลาเดียวกัน โอเคกับทั้งสองแนว ทำให้เราต้องสลับหัวของตัวเองว่าทำ startup นะหรือต้องคุยกับลูกค้านะ

ผู้เขียน: แล้วบีคิดว่าเพื่อนร่วมงานที่ EXISTING เป็นยังไงบ้างครับ

บี: ดีค่ะ! ฮ่า ฮ่า ด้วยความที่ทุกทุกคนอายุไล่เลี่ยกัน มันทำให้คุยกันง่ายค่ะ

ผู้เขียน: บีรู้สึกชอบอะไรบ้าง และไม่ชอบอะไรบ้างที่ EXISTINGครับ

บี: สิ่งที่ชอบมากคือ ทีม คนค่ะ เพราะทุกคนมี มุมมองที่ดีและมีความกระตือรือร้นที่อยากให้ผลงานออกมาดี สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง เช่นเวลาที่มีอะไรต้องปรับเรื่องแก้ไข ให้ feedback ต่อกัน พร้อมที่จะปรับตัวไปด้วยกันและมีความเชื่อใจกัน

ส่วนในเรื่องที่อยากให้ปรับปรุงก็จะเป็นเรื่องของการทำงานให้มี Structure ให้แน่นขึ้น เช่น Code Structure เพราะเหมือน Dev จะมีรูปแบบการพัฒนาเป็นของตัวเอง อยากให้เป็น Structure ของ EXISTING ไปเลย และมีรูปแบบไปในทิศทางเดียวกันค่ะ

ผู้เขียน: บีรู้สึกว่าอะไรเป็นจุดแข็งของ EXISTING ครับ

บี: คิดว่าการสื่อสารภายในทีมตลอดเวลาแล้วเกิด Teamwork ค่ะ เพราะ ทุกคนในทีมทำงานด้วยกัน คุยกันตลอดเวลามี issue นิดหน่อยก็จะพูดขึ้นมาแล้วก็ปรับๆแก้ๆตลอดเวลาทำให้เห็นถึง Teamwork ส่งผลให้ Quality ของงานดีขึ้นด้วย

ผู้เขียน: แล้วบีคิดว่าทำงานอยู่ที่นี้ ท้าทายมากพอไหมครับ

บี: ฮ่า ฮ่า ท้าทายมาก ท้าทายในระดับหนึ่ง ในระดับที่ในแต่ละวันของการทำงาน มีความท้าทายอยู่เสมอมีเรื่องที่ต้องแก้ไขปรับปรุงตลอดเวลา

พี่น้ำแข็ง CEO The Existing Company

ผู้เขียน: แล้วผู้บริหารที่นี้ดีไหมดีครับ

บี: ดีค่ะ ฮ่า ฮ่า เพราะรับฟังทุกอย่าง ทุกคนตลอดเลยค่ะ ปัญหาไหนช่วยแก้ได้ก็จะช่วยแก้ทันที ปัญหาไหนแก้ไม่ได้ก็จะรวมหัวกันและปรับกันอีกที สามารถให้ feedback กันได้ คุยง่าย ไม่ต้องไปผ่าน 1 2 3 4 ผู้บริหารน่ารักดีค่ะ ฮ่า ฮ่า

ผู้เขียน: แล้วองค์กรเราเป็นรูปแบบ Flat ไม่มี hierarchy สูง ส่วนตัวบีคิดว่าดีไหมครับ

บี: มันก็มีทั้งข้อดีและเสียค่ะ แต่ส่วนตัวที่เลือกทำ บริษัทเล็กๆก็เพราะแบบนี้แหละค่ะ มีความ Friendly เป็นมิตรและดีต่อสภาพแวดล้อม มีความ challenge ท้าทายทุกคนมีการ Connect กัน ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ หลายๆเรื่องอาจจะต้องผ่าน Manager Director กว่าจะถึง C-level ค่ะ

ผู้เขียน: ก่อนจากกันไป บีมีอะไรอยากฝากไปถึงพี่ๆน้องๆเพื่อนๆที่สนใจร่วมทีมกับเราในอนาคตบ้างครับ

บี: สนใจ Work hard อยากทำงานหนักก็มาเลยค่ะ อุ้ย! ไม่ใช่ ฮ่า ฮ่า ถ้าเราเป็นคนที่สนใจที่จะเรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำก็จะได้รับโอกาสที่จะได้ทำ

ผู้เขียน: หลังจากนี้น่าจะหมดคำถามแล้วครับ หลังจากคุยกันเสร็จ บีจะไปทำอะไรต่อครับ

บี: ต้องทำงานสิ ฮ่า ฮ่า มีประชุมต่ออีก 10 นาที นี้แหละค่ะ

ผู้เขียน: ฮ่า ฮ่า โอเคครับ ขอบคุณบีสำหรับการพูดคุยในวันนี้นะครับ สวัสดีครับ/ค่ะ

บี: ตั้งใจทำงานนะคะ สวัสดีค่ะ

อย่าลืม 👏 (Claps) และ 🔖 (Bookmark) บทความนี้ไว้อ่านทีหลังด้วยนะ